วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

10 อันดับยอดสุนัขแห่งความซื่อสัตย์




เจ้าบัลโต สุนัขที่ช่วยรักษาเมืองไว้ได้จากโรคระบาด ในปี พ.ศ. 2468 เกิดโรคคอตีบแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วและรุนแรงที่เมืองโนม รัฐอลาสกา ผู้คนในเมืองจึงต้องการวัคซีนเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคทางอากาศ แต่ยาถูกนำเข้ามาและยังอยู่ที่ท่าเรือไม่สามารถเข้ามาในเมืองได้ เนื่องด้วยสภาพอากาศที่หนาวเหน็บอย่างรุนแรงในแถบขั้วโลกเหนือ จึงทำให้การขนส่งต่าง ๆ หยุดชะงัก ด้วยเหตุนี้ การเดินทางขนส่งวัคซีนจึงจำเป็นต้องใช้ทีมลากเลื่อน แต่ทว่าหิมะที่ตกลงมาอย่างหนัก ก็ทำให้ "กันนาร์ การ์เซน" ผู้ขับเลื่อนไม่อาจมองเห็นเส้นทางได้ เขาจึงมอบหมายภารกิจสำคัญนี้ให้กับเจ้าสุนัขที่ชื่อ บัลโต ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ใช้เวลาถึง 7 วัน จนในที่สุดเจ้าบัลโตก็ทำได้สำเร็จลุล่วง ปัจจุบันรูปปั้นของ บัลโต ถูกสร้างตั้งตระหง่านอยู่กลางเซ็นทรัลพาร์ค ในเมืองนิวยอร์กซิตี้

สุนัขพันธุ์ เบลเจี้ยน มาลินอยส์

บลเจี้ยน มาลินอยส์ เป็นหนึ่งในสี่สุนัขต้อนแกะสายพันธุ์เบลเจี้ยน เป็นสุนัขระวังภัยที่ปรับตัวได้ดีกับสถานการณ์อันตราย เพราะเป็นสุนัขที่มีทั้งความเร็ว พละกำลัง และความคล่องแคล่ว เบลเจี้ยน มาลินอยส์ มักจะถูกใช้ในหน่วย SWAT และในกองทัพทั่วโลก เนื่องจากสุนัขพันธุ์นี้ง่ายต่อการฝึกให้รับผิดชอบในหน้าที่ต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการตรวจค้นหายาเสพติดและวัตถุระเบิด รวมถึงภารกิจค้นหาและช่วยเหลือมนุษย์




ไลก้า สุนัขอวกาศตัวแรกของโลกเจ้าไลก้า สุนัขพันธุ์เทอร์เรียร์ผสม เพศเมีย ที่ออกเดินทางไปยังอวกาศโดยดาวเทียมสปุตนิก 1 ของสหภาพโซเวียต เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2500 นับว่าเป็นสัตว์ตัวแรกที่ออกไปเหยียบนอกโลก หลังจากถูกส่งขึ้นไปในอวกาศไม่นาน ไลก้า มีชีพจรสูงผิดปกติ แต่ไม่นานก็กลับมีชีพจรต่ำลง แสดงให้เห็นว่า ไลก้า มีความเครียดสูง จากนั้นระบบควบคุมอุณหภูมิของยานอวกาศทำงานผิดปกติ ทำให้ ไลก้า ตายด้วยความร้อนสูง และอาการตื่นตระหนก ตามรายงานระบุว่า ไลก้า อยู่ได้เพียง 5-7 ชั่วโมง หลังจากเริ่มปล่อยยาน แต่ ไลก้า ก็ทำประโยชน์ให้มวลมนุษยชาติ เพราะมันทำให้มนุษย์รู้ว่า เราสามารถอยู่ในสภาวะไร้น้ำหนักได้นาน ซึ่งหลังจากนั้น ยูริ กาการิน มนุษย์อวกาศชาวรัสเซียก็ขึ้นไปยังอวกาศได้เป็นคนแรกของโลก 




สโมคกี้ ตัวเล็กแต่ใจใหญ่ถึงตัวเล็กแต่ใจใหญ่...ประโยคนี้ตรงกับ เจ้าสโมคกี้ อย่างไม่มีผิดเพี้ยน เรื่องราวของสุนัขพันธุ์ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย ที่มีจิตใจสุดแกร่ง หลังจาก บิล วีนน์ ไปพบเจ้าสโมคกี้ ในป่าที่ปาปัวนิวกินี และนำมาเลี้ยง ก่อนจะพามันเข้าร่วมสนามรบในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เจ้าสโมคกี้ ก็สามารถเอาตัวรอดในสถานการณ์อันตรายได้ดี ที่สำคัญ ครั้งหนึ่ง เจ้าสโมคกี้ ยังเคยช่วยชีวิต วีนน์ ด้วยการเห่าเตือนว่ากำลังมีขีปนาวุธที่ยิงมาจากเรือรบกำลังพุ่งมาทางเขา นอกจากนี้ มันยังสามารถกระโดดร่มที่ความสูง 9.1 เมตรจากพื้นดินได้ และหลังจากสงครามจบลง ทั้ง วีนน์ และเจ้าสโมคกี้ ได้เดินทางกลับบ้านที่คลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ ในฐานะทหารผ่านศึก และมีรูปปั้นตั้งไว้เพื่อระลึกถึงมันที่เลควู้ด โอไฮโอนั่นเอง 



นายจ่าสตับบี้
เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ประเทศฝรั่งเศส สตับบี้ สุนัขพันธุ์พิตต์บูลผสม ได้กลายเป็นสิ่งนำโชคของหน่วยทหารราบที่ 102 ที่ร่วมรบในสงครามครั้งนั้น หลังจากมันได้ใช้ประสาทสัมผัสของมันดมกลิ่นจนรู้ว่าจะมีการรมควันพิษทางอากาศ มันจึงเห่าเตือนให้กองกำลังทหารหน่วยนี้ใส่หน้ากากป้องกันได้ทันเวลา นอกจากนี้ สตับบี้ ยังปฏิบัติภารกิจค้นหาและช่วยเหลือ จนได้รับแต่งตั้งเป็นนายจ่าในกองกำลังนาวิกโยธินของสหรัฐอเมริกา และเป็นสุนัขเพียงตัวเดียวที่ได้รับตำแหน่งในกองทัพเช่นนี้...น่าปรบมือให้เสียจริง ๆ




ฮาจิโกะ สุนัขผู้ซื่อสัตย์
หลายคนคงเคยได้ดูภาพยนตร์เรื่อง ฮาจิโกะ (Hachiko) ซึ่งสร้างมาจากเรื่องจริงของ "ฮาจิโกะ" หนึ่งในสุนัขที่ซื่อสัตย์ที่สุดในโลกพันธุ์อากิตะ ที่จะมานั่งรอเจ้าของกลับจากที่ทำงานที่สถานีรถไฟชิบูย่าในกรุงโตเกียวทุกวัน แต่อยู่มาวันหนึ่งก็เกิดเหตุการสลดใจขึ้น เมื่อเจ้าของออกไปทำงานตามปกติ แต่เกิดหัวใจวายเสียชีวิตในที่ทำงานและไม่กลับมาบ้านอีก แต่ ฮาจิโกะ ก็ยังคงมาเฝ้ารอเจ้าของกลับบ้านที่สถานีรถไฟวันแล้ววันเล่า จนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิตมัน เรื่องราวของ ฮาจิโกะ เป็นที่ประทับใจไปทั่วโลก ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ที่เรียกน้ำตาผู้ชมได้ทุกคราว และปัจจุบันนี้ก็มีรูปปั้นของฮาจิโกะตั้งเป็นสัญลักษณ์อยู่ที่สถานีรถไฟชิบูย่า และตั้งตรงบริเวณที่มันเคยนั่งรอเจ้าของในอดีตอีกด้วย


เพื่อนตูบคู่ยากในเหตุการณ์สึนามิญี่ปุ่น
สุนัขนอกจากจะเป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ของมนุษย์แล้ว มันยังช่วยเหลือกันเอง โดยเราจะเห็นได้จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิที่เข้าพัดโจมตีญี่ปุ่นเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เราได้เห็นภาพอันน่าประทับใจของสุนัขตัวหนึ่งที่อยู่เคียงข้างสุนัขอีกตัวหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บ และมันจะคอยส่งเสียงเพื่อหาคนมาช่วยเพื่อนของมันที่นอนได้รับบาดเจ็บอยู่ และสุดท้ายทีมช่วยเหลือก็สามารถช่วยเหลือสุนัขทั้งสองให้ปลอดภัยได้















เจ้ามองท์ สุนัขค้นหาผู้รอดชีวิตจากแผ่นดินไหว

มองท์ เป็นสุนัขช่วยชีวิตในทีมช่วยเหลือพิเศษสเปเดอร์ ในเมืองมิสโคล์ตของฮังการี ซึ่งเป็นทีมช่วยเหลือที่เดินทางไปทั่วโลกเพื่อค้นหาผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว โดย เจ้ามองท์ จะทำการดมกลิ่นและทำสัญญาณบอกทีมช่วยเหลือได้ว่ายังมีผู้รอดชีวิตอยู่ใต้ซากตึกถล่มบริเวณไหนบ้าง และจากผลงานที่ดีของมัน ในปี พ.ศ. 2547 จึงมีการสร้างรูปปั้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับเจ้ามองท์ ตั้งอยู่ที่เมืองมิสโคล์ต บ้านเกิดของมันเอง ก่อนที่ เจ้ามองท์ จะเสียชีวิตในอีก 2 ปีถัดมา





























































































































































































































































































เจ้ามัสทาช พุดเดิ้ลผู้กล้า
















มีเรื่องเล่ามาว่า ในช่วงที่เกิดสงครามออสเตอร์ลิทซ์ในปี พ.ศ. 2348 เจ้ามัสทาช สุนัขพุดเดิ้ลสีดำ ได้ค้นหาและช่วยเหลือสายลับชาวออสเตรียคนหนึ่ง นอกจากนี้ มันยังนำธงฝรั่งเศสกลับมายังที่ตั้งแคมป์ได้ แม้มันต้องสูญเสียขาจากการระเบิดของปืนใหญ่ เจ้ามัสทาช จึงได้รับเหรียญกล้าหาญจากวีรกรรมของมันในครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม ว่ากันว่า เรื่องราวของเจ้ามัสทาช เป็นเรื่องที่ถูกแต่งขึ้น แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องราวของมันก็เผยแพร่และดังไปทั่วโลก รวมถึงได้ตีพิมพ์


พันโทแร็กส์ สุนัขส่งสารจอมอึด
พลทหารเจมส์ โดโนแวน ในหน่วยทหารราบที่ 1 ของกองทัพสหรัฐ ฯ ได้พา เจ้าแร็กส์ สุนัขพันธุ์เทอเรียร์ เข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 1 ในฝรั่งเศสด้วย โดยมอบให้ทำหน้าที่เป็นสุนัขส่งสารไปยังที่ต่าง ๆ ท่ามกลางอันตรายอย่างยิ่งยวดในภาวะสงคราม แม้ว่าจะสามารถเอาชีวิตรอดมาได้หลังจากสิ้นสุดสงคราม แต่ระหว่างเดินทางกลับบ้าน เรือโดยสารของโดโนแวนและเจ้าแร็กส์ ก็ถูกโจมตีด้วยแก๊สพิษ เจ้านายของมันเสียชีวิต ส่วนเจ้าแร็กส์ จอมอึด ก็รอดชีวิตมาได้อีกราวปาฏิหาริย์ เรื่องราวของมันโด่งดังไปทั่วประเทศ และได้รับการแต่งตั้งให้เป็น "พันโทแร็กส์" ศพของมันถูกฝังอย่างมีเกียรติเยี่ยงทหารผู้เสียสละเพื่อชาติที่ซิลเวอร์ สปริง ในรัฐแมรี่แลนด์
 
ลงในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์อีกด้วย








วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556



อาหารการกินของน้องแมว

 แมวเป็นสัตว์กินเนื้อ
        เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าแมวเป็นสัตว์กินเนื้อ เป็นนักล่า ดังนั้นอาหารที่คุณจะต้องจัดเตรียมให้แมว จะต้องมีคุณค่าทางสารอาหารครบถ้วนสำหรับแมว (ไม่ใช่สำหรับคน) ถ้าเทียบหมากับแมวแล้ว แมวต้องการโปรตีนสูงว่าหมาเยอะเลย อาหารที่คนทั่วไปรู้จักดีและนิยมให้เจ้าเหมียวกินคือข้าวคลุกปลาทู แต่แทบทั้งนั้นที่ให้ข้าวมากว่าปลาทู ก็แหม...ปลาทูมันก็ไม่ใช่ถูก แมวก็จำต้องกิน ก็มันหิวนี่นา แต่กินไปได้นิดหน่อยก็ไปแล้ว ไม่เอาแล้ว ข้าวก็เหลืออีกบานเบอะ เลยเป็นคำที่เรียกกันว่า กินข้าวเหมือนแมวดม สาเหตุก็เพราะแมวไม่ชอบกินข้าวนั่นเอง
 สาเหตุที่แมวไม่กินอาหาร      อาจเป็นไปได้ว่าอาหารที่คุณเตรียมไว้ให้บูดเสียแล้ว, อาหารเพิ่งออกมาจากตู้เย็นเลย, อาหารเพิ่งทำมาร้อนๆเลย, อาหารกลิ่นแปลกๆไม่เคยกิน รวมถึงความเครียดจากการย้ายที่อยู่ และอีกหลายสาเหตุที่ไม่อาจเดาใจเจ้าเหมียวได้ถูก ถ้าจะว่ากันด้วยเรื่องอุณหภูมิของอาหารแล้ว อาหารที่จะให้ควรมีอุณหภูมิที่พอดี ไม่ร้อน ไม่เย็นจนเกินไป แมวไม่ชอบของร้อน ไม่เหมือนหมา ถ้าหิวร้อนหรือเย็นก็พอกินได้ แต่แมวไม่ใช่ บางทีแมวอาจกินของเย็นได้ในบางโอกาส(แมวที่บ้านกินไอติมได้ด้วย) แมวเป็นนักล่าและกินเหยื่อขณะตัวยังอุ่นๆอยู่ โดยทั่วไปอาหารแมวก็จะมีอุณหภูมิเท่ากับอุณหภูมิห้อง ถ้าเอาอาหารออกจากตู้เย็นใหม่ๆ ก็น่าจะทิ้งไว้ซักพักพอคลายความเย็นลงแล้วค่อยให้แมวกิน
 ประเภทของอาหารแมว      อาหารแมวนั้นก็มีอยู่ 3 แบบคือ แบบเจ้าของปรุงเอง แบบอาหารกระป๋อง และแบบอาหารเม็ด อาหารที่เจ้าของปรุงเองนั้นไม่ค่อยสนับสนุนเท่าไหร่ เพราะโดยมากคนเราจะตัดสินโดยเอาตัวเองเป็นเกณฑ์ อาหารอาจจะมีคุณค่าไม่ครบเท่าที่แมวต้องการ บางครั้งการปรุงแต่งรสชาติก็เป็นอันตรายต่อสุขภาพของแมวด้วย เช่น แมวเป็นสัตว์เลี้ยงที่จะเกิดปัญหาเกี่ยวกับไตและระบบปัสาวะได้ง่าย หากคุณให้อาหารที่มีรสเค็มหรือมีส่วนผสมของเกลือมากเกินไป ในตอนวัยหนุ่มสาวแมวคุณอาจจะยังแข็งแรงดีอยู่ แต่เมื่อแก่ตัวลงไตจะเสื่อมเร็ว อยากจะแนะนำเป็นอาหารสำเร็จรูปมากกว่า อาหารสำเร็จรูปก็หมายถึงทั้งอาหารกระป๋องและอาหารเม็ดนั่นแหละ
 อาหารกระป๋อง ก็จะเหมือนปลากระป๋องของคนนี่แหละ แต่เค้าปรุงขึ้นมาสำหรับแมว มีทั้งที่เป็นปลา เป็นเนื้อ เป็นไก่ ปลาหมึก ฯลฯ อีกสารพัดที่แมวจะกินได้ อาหารแบบนี้ก็มีการแบ่งเกรด ถ้าเป็นอาาหารแบบถูกหน่อยก็จะหน้าตาไม่ค่อยสวยงาม เหมือนเอาเศษปลาที่เหลือจากทำอาหารคนมาทำ บางทีก็ผสมสีบ้าง แต่ถ้าอาหารแพงขึ้นมาหน่อย วัตถุดิบที่นำมาทำก็จะดีกว่า เมื่อเปิดออกดูแล้วก็จะเห็นความแตกต่าง ซึ่งบางทีอาหารแมวแพงกว่าอาหารคนซะอีก อันนี้ก็คงต้องเลือกเอาตามใจชอบและตามกำลังทรัพย์ของแต่ละคน การให้อาหารกระป๋องมีข้อดีคือแมวชอบ กลิ่นจะยั่วยวนจมูกแมวมาก แต่ข้อเสียคือจะตั้งทิ้งไว้ให้ทั้งวันคงไม่ได้เพราะจะเน่าเสียง่าย ปัญหาเรื่องแมลงก็จะตามมา ต้องหมั่นคอยดูว่าอาหารบูดหรือยัง มีแมลงวันแมลงสาบมารบกวนหรือเปล่า โดยส่วนใหญ่ถ้าให้อาหารแบบนี้จะให้กันเป็นมื้อไป พอกินเสร็จก็เก็บเลย แต่ต้องตั้งน้ำสะอาดทิ้งไว้ให้แมวกินได้ตลอดนะ
 อาหารเม็ด อาหารเม็ดเดี๋ยวนี้ก็มีหลายยี่ห้อที่ทำขึ้นมาแข่งขันกัน ก็มีการแบ่งเกรดอีกเหมือน อาหารเกรดธรรมดาก็หาซื้อได้ทั่วไปตามห้างสรรพสินค้า ราคาก็จะไม่แพงเท่าอาหารพวกพรีเมี่ยมเกรด บางทีถ้าเราอ่านรายละเอียดของส่วนประกอบในอาหาร อาจพบว่าพอๆกัน แต่เหตุผลที่ราคาต่างกันก็มีหลายอย่าง เช่น อาหารมาจากต่างประเทศหรือผลิตในเมืองไทย วัตถุดิบที่ผลิตอาหาร ซึ่งมักจะเขียนว่าใช้วัตถุดิบคุณภาพดี อันนี้ก็ต้องเดากันเอาเองว่าแบบไหนจะดีกว่ากัน แต่โดยส่วนตัวเดาไว้ก่อนเลยว่าอาหารที่ราคาถูกมากๆก็คงไม่ได้ใช้วัตถุดิบที่ดีอะไรมากมาย ซึ่งเค้าก็ไม่ได้ชี้แจงในรายละเอียดว่าใช้อะไรทำบ้าง กี่ส่วนต่อกี่ส่วน ถ้าอยากพิสูจน์ ก็ลองหาตัวอย่างอาหารมาลองดมดู เรื่องกลิ่นต่างกันแน่นอน แต่จะลองให้แมวกินหรือเปล่าก็ตัดสินใจเอง ที่บ้านก็มีอาหารหลายยี่ห้อที่ให้แมวกิน แต่เป็นอาหารเกรดพรีเมี่ยมทั้งหมด สุขภาพแมวก็ดี ข้อดีของอาหารเม็ดก็คือ คุณค่าสารอาหารจะครบถ้วนกว่า ซึ่งอาหารกระป๋องค่อนข้างจะมีองค์ประกอบของน้ำเยอะ แมวจะอิ่มเร็วแต่สารอาหารจะได้ไม่เท่าอาหารเม็ด อาหารเม็ดตั้งทิ้งให้กินได้ทั้งวัน หรือจะให้เป็นมื้อก็ได้ แล้วแต่ความสะดวก ข้อเสียคือ หากแมวได้กินน้ำน้อยเกินไป อาจไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ ดังนั้น ไม่ว่าแมวคุณจะกินอาหารแบบไหน น้ำสะอาดเป็นสิ่งสำคัญที่คุณจะต้องเตรียมไว้ให้แมวกินได้ทั้งวันเสมอ


 ปรับนิสัยแมวให้กินอาหารเม็ด      ถ้าคุณเลี้ยงแมวด้วยอาหารปรุงเองอยู่ให้เริ่มเปลี่ยนมาเป็นให้อาหารกระป๋อง ซึ่งโดยมากมักไม่มีปัญหา แล้วนำอาหารกระป๋องคลุกกับอาหารเม็ด แมวได้กลิ่นอาหารกระป๋องก็จะกินอาหารเม็ดที่เราคลุกไว้ แล้วลดปริมาณอาหารกระป๋องที่เราผสมลงเรื่อยๆ ในเวลาไม่นานแมวก็จะกินอาหารเม็ดได้เอง





ขอขอบคุณรูปภาพจาก...คุณโอปอ
และที่มา...www.cat4love.com



10 อันดับ พันธุ์แมวที่สวยที่สุด




อันดับที่ 10 ได้แก่ แมงซ์ (Manx) แมวไม่มีหาง

อันดับที่ 9 ได้แก่ อเมริกันขนสั้น (อังกฤษ: American Short Hair) พันธุ์อเมริกันขนสั้น
(อังกฤษ: American Short Hair) เป็นแมวที่ถูกนำมาจากยุโรปไปสู่แผ่นดินอเมริกาเหนือ
 เมื่อครั้งมีการโยกย้ายถิ่นฐานของคนยุโรปไปแสวงหาถิ่นที่อยู่ใหม่ แมวถูกนำลงเรือไปเพราะต้องการใช้ประโยชน์จากมันในการล่าหนูมิให้ทำลายข้าวของซึ่งที่นำไปด้วยนั้นมีหลายตัว และได้ผสมพันธุ์กันจนได้ลูกที่มีลักษณะเฉพาะออกมาให้เห็นอย่างปัจจุบัน เป็นแมวที่มีขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ โครงสร้างลำตัวใหญ่โต มีกล้ามเนื้อแข็งแรงเห็นชัดเจน อกใหญ่ ขาใหญ่ ยาวขนาดปานกลาง ใบหูขนาดกลางและขอบเป็นทรงกลมมน หัวรูปไข่แต่มีคางที่ค่อนข้างใหญ่ชัดเจน ดวงตาแมวพันธุ์นี้กลมโต ขอบตาด้านนอกด้านบนจะโค้งลงมา สีของตาเป็นสีเขียว

อันดับที่ 8 ได้แก่ ชอซี (Chausie) แมวที่เกิดจากการผสมข้ามสายพันธ์

อันดับที่ 7 ได้แก่ เทอร์คิชแองโกรา (Turkish Angora) เป็นแมวที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศตุรกี ที่ได้รับ
ชื่อ Angora ต่อท้าย เนื่องจากเป็นแมวตุรกีขนยาวจากเมืองแองโกรานั่นเอง


อันดับที่ 6 ได้แก่ แร็กดอลล์ (Ragdoll ) แร็กดอลล์มีลักษณะเหมือนตุ๊กตาผ้า เวลาอุ้มขึ้นมาก็ทำตัวอ่อนเหมือน
ไม่มีกระดูก ขนบริเวณเอวแน่นฟู ที่สำคัญ แมวพันธุ์นี้คล้ายกับสวมถุงเท้าด้วยบริเวณเท้าจะด่างขาวดูเหมือนกับใส่ถุงเท้าอยู่ มีเสียงร้องที่เบามาก และเป็นแมวที่ชอบความเงียบ


อันดับที่ 5 ได้แก่ ทอยเกอร์ (Toyger) เป็น แมวสายพันธุ์ หนึ่งที่ได้รับการพัฒนาผสมข้ามสายพันธุ์โดย
Judy Sudgen แมว ทอยเกอร์ (Toyger) แมว ที่เหมือนเสือที่สุด


อันดับที่ 4 ได้แก่ เปอร์เซียน (Persian) เปอร์เซียน เป็นแมวที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบเปอร์เซีย หรืออิหร่าน
ถูกนำไปเลี้ยง ในประเทศต่าง ๆ ทั้งใน ยุโรปและอเมริกาเป็นเวลาเกือบร้อยปีมาแล้ว สำหรับประเทศไทยจัดเป็นแมวต่างประเทศ พันธุ์แรกที่ถูกนำมาเผยแพร่ เนื่องจากเป็นแมวที่มีอุปนิสัยอ่อนโยน สุขุมเข้ากับคนง่าย มี ความร่าเริงซุกซน ชอบประจบประแจงและมีไหวพริบ

อันดับที่ 3 ได้แก่ Ashera มีการผสมแมวพันธุ์ใหม่Asheraออกขาย ในราคาแพงลิบลิ่ว Ashera ราคาตัวละ
 เจ็ดแสนกว่า เมื่อคุณสั่งซื้อและจ่ายเงินเรียบร้อย ก็ต้องรอเขาผสม และส่งให้ ในเวลา 9 ถึง 12 เดือน หากต้องการเร็วเขาก็จะลัดคิวให้ แต่จะต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก เกือบ 2 แสน เขาก็จะส่งถึงบ้านเลย สรุปแล้วตัวละเกือบล้านทีเดียว ทางผู้ผสมพันธุ์เขาตั้งเป้าไว้ แค่ปีละ 100 ตัวทั่วโลก แต่ให้เฉพาะในอเมริกาก็ 50 ตัวแล้ว ที่เหลือ เศรษฐีประเทศต่างๆต้องแย่งกันเอาเอง 


อันดับที่ 2 ได้แก่ The Sandcat เป็นแมวรูปร่างเล็กมีความยาวเกือบ 50 ซม. เติบโตในทะเลทราย สามารถ
อยู่รอดใน อุณหภูมิ ตั้งแต่ -5 องศา C (23 องศา F) 52 องศา C (126 องศา F)


อันดับที่ 1 ได้แก่ สก็อตทิช โฟลด์(Scottish Fold) เป็นแมวที่มีถิ่นกำเนิดมาจากสกอตแลนด์ เป็นแมว
ขนาดกลาง ศีรษะกลม หูพับหรือตั้ง บางตัวหูจะพับเพียงครึ่งเดียว พับ 2 ส่วนหรือพับ 3 ส่วน จะมีทั้งขนสั้นและขนยาว ลักษณะของหัวเพศผู้จะมีลักษณะกลมโตกว่าหัวของตัวเมีย สำหรับอุปนิสัยจัดเป็นแมวที่มีความสุภาพ เรียบร้อย ไม่ซนอารมณ์ดี ขี้เล่น มีความกระตือรือร้น ชอบคลอเคลีย, ขี้อ้อนและขี้ประจบเจ้าของ


Credit :  http://www.toptenthailand.com/