วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556


10 สุนัขพันธุ์ดุ ตามสายพันธุ์


10 อันดับสุนัขพันธุ์ดุที่สุดในโลกที่คุณควรระวัง

   ความฉลาด น่ารัก และสดใสของเจ้าตูบสี่ขา กลายเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ใครต่อใครหลงรักไม่ยาก เพราะนอกจากจะเป็นสัตว์เลี้ยงอันแสนวิเศษของผู้คนมานานนับศตวรรษแล้ว ยังเป็นได้ทั้งเพื่อนที่ดีและยามผู้ซื่อสัตย์ด้วย แต่เวลาที่สุนัขอยู่ในอารมณ์หงุดหงิด ถูกทำร้าย หรือต้องการปกป้องเจ้านาย เจ้าสี่ขาเหล่านี้ก็พร้อมจะแลกด้วยชีวิต โดยเฉพาะสุนัข 10 สายพันธุ์ที่เว็บไซต์themost10.com ได้จัดอันดับว่าดุที่สุดตามสายพันธุ์ จะมีพันธุ์ไหนบ้างนั้น ตามมาดูกันเลย...
  


10 อันดับสุนัขพันธุ์ดุที่สุดในโลกที่คุณควรระวัง

1. อเมริกันพิทบูล เทอร์เรีย (American Pit Bull Terrier)

            แค่เพียงได้ยินชื่อก็ทำให้หลายคนออกอาการหวาดกลัวไปตาม ๆ กัน เพราะข่าวคราวของสุนัขพันธุ์นี้ไม่ค่อยจะมีดีสักเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ พิทบูลก็พร้อมจะเข้าจู่โจมได้ตลอด แถมจัดการเหยื่อให้อยู่หมัดภายในเวลาไม่กี่นาที ซึ่งสัญชาตญาณความโหดร้ายพัฒนามาจากการผสมข้ามสายพันธุ์ ทำให้มีนิสัยดุร้าย ร่างกายของพิทบูลแข็งแรงและทรงพลังกว่าสุนัขทั่วไป ทั้งกล้ามเนื้อและฟันกราม แถมยังว่องไวปราดเปรียว มีความอดทนเป็นเลิศไม่หวั่นไหว แม้บาดแผลจะลึกฉกรรจ์ แต่ทั้งนี้หากพิทบูลกลายมาเป็นสัตว์เลี้ยงของใครแล้ว พิทบูลก็จะจงรักภักดีกับเจ้านายไปจนวันตายเลยล่ะ

10 อันดับสุนัขพันธุ์ดุที่สุดในโลกที่คุณควรระวัง


2. ร็อตไวเลอร์ (Rottweilers)

           สุนัขสัญชาติเยอรมนีที่มีความโดดเด่นในเรื่องการต่อสู้ โจมตี และพละกำลังที่เหลือล้นด้วยร่างกายที่กำยำแข็งแรง ซึ่งเมื่อถึงวัยเจริญเติบโตเต็มที่อาจมีน้ำหนักมากถึง 50 กิโลกรัมเลยทีเดียว ฉะนั้นหากเหยื่ออยู่ใต้กรงเล็บแล้วแทบจะไม่มีโอกาสรอดเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เหยื่อต่อสู้ดิ้นรน ร็อตไวเลอร์ก็จะยิ่งขบกรามสะบัดเขี้ยวจนกว่าจะแน่นิ่งและขาดอากาศหายใจในที่สุด แต่เนื่องจากเป็นสุนัขที่ฉลาดและมีความจำที่ดี ดังนั้นในหลายประเทศจึงนิยมนำมาเลี้ยงพร้อมกับฝึกฝนเพื่อใช้ในการคุ้มกัน


10 อันดับสุนัขพันธุ์ดุที่สุดในโลกที่คุณควรระวัง


3. เยอรมันเชพเพิร์ด (German Shepherd)

           ลักษณะเด่นของสุนัขพันธุ์นี้ไม่ได้อยู่ที่ร่างกายอันสง่างามและทรงภูมิเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ในขณะเดียวกันหน้าตาก็ยังน่ารักบวกกับความกระตือรือร้นตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา นี่ยังไม่รวมถึงความคิดที่ชาญฉลาด และความมั่นใจที่เต็มเปี่ยมพร้อมลุยทุกสถานการณ์ ดังนั้นจึงเห็นได้ว่ามีคนนิยมนำเยอรมันเชพเพิร์ดไปฝึกฝนอยู่บ่อยครั้ง จนได้สมญานามว่า สุนัขอารักขา

10 อันดับสุนัขพันธุ์ดุที่สุดในโลกที่คุณควรระวัง


4. บ็อกเซอร์ (Boxer)

           ถึงแม้ในเวลาปกติอาจจะดูร่าเริง น่ารัก ขี้เล่น ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใด แต่ก็ไม่ควรแหย่หรือทำให้บ็อกเซอร์โกรธเกรี้ยวเลยเชียว โดยเฉพาะคนที่ไม่สนิทสนมกับพวกมันมาก่อน กับในเวลาที่อยู่รวมกันเป็นฝูง นิสัยจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที โดยพร้อมจะโจมตีคู่ต่อสู้ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ในบริเวณอาณาเขตที่คุ้นเคย หรือต่างสถานที่ก็ตาม


10 อันดับสุนัขพันธุ์ดุที่สุดในโลกที่คุณควรระวัง


5. ไซบีเรียน ฮัสกี้ (Siberian husky)

           พื้นเพเดิมของไซบีเรียน ฮัสกี้ เป็นสัตว์เลี้ยงของเผ่าชัคชิที่อาศัยอยู่บริเวณทางตะวันออกของประเทศรัสเซียซึ่งเป็นแถบที่มีอากาศหนาวจัด ดังนั้นชาวเมืองจึงจำเป็นต้องฝึกฝนไซบีเรียน ฮัสกี้ ให้มีร่างกายแข็งแรง เพื่อทนต่อความเหน็บหนาวได้ดี มีความอดทนเมื่อต้องเดินทางไกล และความดุร้ายสำหรับใช้ประโยชน์ในการล่าอาหารจนกลายเป็นสัญชาตญาณที่ถูกส่งต่อกันมารุ่นต่อรุ่น แต่ตอนนี้ไซบีเรียน ฮัสกี้ ได้กลายเป็นสุนัขคู่ใจของใครหลายคนไปแล้ว ด้วยหน้าตาที่น่ารัก นิสัยที่ขี้เล่นนั่นเอง  

10 อันดับสุนัขพันธุ์ดุที่สุดในโลกที่คุณควรระวัง


6. อลาสกา มาลามิว ( Alaskan Malamutes)

           หน้าตาของอลาสกา มาลามิว หากดูเผิน ๆ จะเห็นว่ามีคลายคลึงกับไซบีเรียน ฮัสกี้ มาก ๆ แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งสองสายพันธุ์แตกต่างกันก็คือ อลาสกา มาลามิว มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ และไม่สามารถฝึกฝนให้โจมตีหรือล่าเหยื่อได้เหมือนกับไซบีเรียน ฮัสกี้ แต่เมื่อก็ตามที่รู้สึกหงุดหงิดหรือเบื่อก็จะแสดงความก้าวร้าวออกมาได้ เพราะฉะนั้นเจ้าของจำเป็นจะต้องฝึกให้สุนัขอารมณ์ดี ด้วยการพาไปออกกำลังกาย และดูแลเอาใจใส่ด้วยความรักอยู่เสมอ


10 อันดับสุนัขพันธุ์ดุที่สุดในโลกที่คุณควรระวัง


7. โดเบอร์แมน พินเชอร์ (Doberman Pinschers)

           เรียกกันสั้น ๆ ว่า โดเบอร์แมนเป็นสาพันธุ์สุนัขที่นิยมเลี้ยงเอาไว้สำหรับป้องกันและระวังภัย ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องของความจงรักภักดีต่อเจ้านายเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีความสามารถเป็นเลิศทั้งในเรื่องของความฉลาดและความกระตือรือร้น ซึ่งสุนัขพันธุ์นี้จะแสดงความดุร้ายออกมาต่อเมื่อโดนกระตุ้นอารมณ์หรือเห็นว่าคนที่รักถูกทำร้ายเท่านั้น


10 อันดับสุนัขพันธุ์ดุที่สุดในโลกที่คุณควรระวัง


8. เชา เชา (Chow chow)

           ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าขนฟูหน้าตาแนวอาตี๋อย่างเชา เชา จะมีนิสัยดุร้ายแฝงอยู่ในตัว โดยเฉพาะในเวลาที่มีคนแปลกหน้าเดินเข้าใกล้เจ้านายอันเป็นที่รักยิ่ง ถูกทำให้ตกใจ หรือโดนแกล้ง ก็พร้อมที่จะต่อสู้ในทันที หรืออาจแสดงท่าทีก้าวร้าวอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อน ฉะนั้น ควรเข้าหาอย่างถูกวิธี และเล่นด้วยความสุภาพจะดีกว่า


10 อันดับสุนัขพันธุ์ดุที่สุดในโลกที่คุณควรระวัง

9. พรีซา คานาริโอ (Presa Canario)

           เพียงแค่เห็นหน้าก็รู้ถึงนิสัยและความน่าเกรงขามได้เป็นอย่างดี ความดุร้ายสืบเนื่องมาจากในช่วงศตวรรษ18 มีการนำพรีซา คานาริโอ ไปฝึก เพื่อนำมาใช้เป็นเครื่องมือช่วยต่อสู้ในช่วงสงคราม จากเหตุการณ์ครั้งนั้นยังทำให้ร่างกายมีการพัฒนาให้แข็งแกร่งและมีความอดทนพร้อมตั้งรับและจู่โจม เมื่อมีคนแปลกหน้าหรือศัตรูเข้ามาใกล้



10 อันดับสุนัขพันธุ์ดุที่สุดในโลกที่คุณควรระวัง


10. ดัลเมเชี่ยน (Dalmatian)

           ความน่ารักน่าชังของดัลเมเชี่ยนในภาพยนตร์หรือการ์ตูน ทำให้ผู้คนทั่วโลกหลงรักเจ้าสุนัขพันธุ์นี้ แต่ในความเป็นจริงสุนัขสายพันธุ์นี้ก็มีความดุร้ายแอบแฝงอยู่ตามสายพันธุ์เช่นเดียวกัน ซึ่งจะแสดงออกมาในเวลาที่เจ้าของหรือมีสมาชิกโดนทำร้ายก็จะตอบโต้ไปตามสัญชาตญาณ แต่ในเวลาปกติดัลเมเชี่ยนจะเป็นเพียงแค่สุนัขที่ซื่อสัตย์ ฉลาด และพร้อมผูกมิตรกับทุกคน

           แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าสุนัขหน้าตาน่ารักดูไม่มีพิษภัยกับใครจะติดอันดับเข้ามาด้วย ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูของสุนัขแต่ละตัวด้วย หากถูกเลี้ยงอย่างถูกวิธี เจ้าตูบที่อยู่ในสายพันธุ์ดุ ก็อาจเป็นแค่น้องหมาน่ารัก ๆ ที่พร้อมจะเป็นเพื่อนสี่ขานิสัยดี ขี้เล่น ไม่ต่างจากสายพันธุ์อื่น ๆ เลยล่ะ

มาดูกัน! พฤติกรรมที่เจ้าของทำร้ายสัตว์เลี้ยงโดยไม่รู้ตัวพฤติกรรมของเจ้าของที่ทำร้ายสัตว์เลี้ยงโดยไม่รู้ตัว


สัตว์เลี้ยงเปรียบเหมือนสมาชิกคนหนึ่งของบ้าน ดังนั้นไม่ว่าจะซุกซน วิ่งเล่นกัดแทะของไปทั่ว หรือดื้อดึงไม่ฟังคำสั่งบ้าง เจ้าของก็ยอมให้อภัยทุกครั้ง และถ้าหากต้องลงโทษจริง ๆ ก็คงเพียงแค่การสั่งสอนเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาจงใจจะทำให้เจ็บปวดแต่อย่างใด ยกเว้นพฤติกรรมหรือการกระทำบางอย่างต่อไปนี้ ที่เจ้าของอาจทำร้ายสัตว์เลี้ยงของตัวเองโดยไม่รู้ตัว

 1. ไม่เข้าใจการแสดงความรัก

           การแสดงความรักของสัตว์เลี้ยงแต่ละตัวแตกต่างกันไปตามอารมณ์ เช่น บางตัวก็เข้ามาคลอเคลียในเวลาที่เห็นว่าเจ้าของกำลังเหงา หรือยื่นหน้าของตัวเองเข้ามาใกล้ ๆ เพื่อจะปลอบให้หายเศร้า เป็นต้น ซึ่งน้อยคนนักที่จะเข้าใจและมีการตอบสนองพฤติกรรมเหล่านั้น แถมบางครั้งอาจจะโดนเจ้าของไล่ หรือนิ่งเฉยใส่อีก ทั้งที่จริงแล้วเจ้าของควรจะกอด ลูบหัว หรือให้ความสนใจบ้างจะทำให้สัตว์เลี้ยงรู้สึกมีความสุข ดีใจ และผูกพันกับเจ้าของมากยิ่งขึ้น

พฤติกรรมของเจ้าของที่ทำร้ายสัตว์เลี้ยงโดยไม่รู้ตัว


 2. มองตาแมว

           ไม่ว่าดวงตาของแมวจะกลมโตบ๊องแบ๊วทำให้รู้สึกน่ารักน่าชังอยากจะมองมากแค่ไหน ก็ไม่ควรจ้องหรือสบตากับแมวโดยตรง เพราะทำให้แมวรู้สึกไม่ปลอดภัยและโดนบุกรุกพื้นที่ส่วนตัว ถึงแม้จะเป็นเจ้าของก็ตาม ทั้งนี้ถ้าหากเผลอจ้องมองหรือสบตากับแมวไปแล้ว สามารถแก้ไขได้โดยการเพ่งไปที่ตาของแมวอีกครั้งพร้อมกับกระพริบตาช้า ๆ เพื่อทำให้แมวรู้สึกปลอดภัย อบอุ่นใจ และกลับมาเป็นมิตรเหมือนเดิม


พฤติกรรมของเจ้าของที่ทำร้ายสัตว์เลี้ยงโดยไม่รู้ตัว


 3. ให้อาหารเหลือกับสัตว์เลี้ยง

           เจ้าของบางคนอาจจะเกิดความรู้สึกเสียดายเมื่อมีอาหารเหลือ ก็เลยหยิบยื่นให้กับสัตว์เลี้ยงกิน โดยไม่รู้ตัวเลยว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการทำร้ายสัตว์เลี้ยงทางอ้อม เนื่องจากร่างกายของสัตว์แต่ละชนิดมีข้อจำกัดบางอย่าง สารอาหารเหล่านั้นจึงกลายเป็นโทษแทน เช่น นม ช็อกโกแลต ผัก รวมไปถึงการให้อาหารผิดประเภท ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยเจ้าของควรจะศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับการให้อาหารเสียก่อน ว่าสัตว์เลี้ยงของตนสามารถกินหรือกินอะไรไม่ได้บ้าง

 4. ซื้อสัตว์เลี้ยงจากเพ็ทช็อป

           ถึงแม้ร้านเพ็ทช็อปจะมีสินค้าให้เลือกมากมายตั้งแต่ สัตว์เลี้ยงประเภทต่าง ๆ อาหาร ขนม ของเล่น รวมไปถึงอุปกรณ์อื่น ๆ ตลอดจนบรรยากาศของร้านที่ดูน่าเชื่อถือ แต่ก็ควรตรวจสอบข้อมูลประวัติที่เกี่ยวข้องกับผู้ขายเสียก่อน โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องการจะซื้อสัตว์มาเลี้ยง เพื่อให้แน่ใจว่า สัตว์เลี้ยงเหล่านั้นไม่ได้มาจากการดักจับด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง ทั้งนี้ หากเป็นไปได้อาจจะติดต่อขอซื้อจากฟาร์มเพาะพันธุ์หรือคนที่เลี้ยงสัตว์โดยตรง เพราะสามารถวางใจได้ว่า สัตว์เหล่านี้เป็นพันธุ์แท้ ปลอดภัย และไม่โดนหลอกแน่นอน

           สัตว์เลี้ยงทุกตัวต่างก็มีจิตใจ มีความรู้สึก ไม่ต่างจากคน เพราะฉะนั้นเมื่อนำสัตว์มาเลี้ยงก็ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการดูแลที่ถูกต้อง พร้อมกับทำความเข้าใจพฤติกรรมและการสื่อสารของสัตว์แต่ละชนิด เพื่อทำให้สัตว์เลี้ยงอยู่อย่างมีความสุข รู้สึกปลอดภัย อบอุ่น และไม่เป็นพิษเป็นภัยกับผู้อื่น 


หมากับแมวหลงทาง แล้วหาทางกลับบ้านได้อย่างไร 

          นิยายเรื่องสุนัขและแมวที่หลงหาทางกลับบ้านเองได้ทั้งที่อยู่ห่างไกลเป็นพันกิโลเมตร คิดว่าท่านผู้อ่านคงเคยได้ยินมาบ้างไม่มากก็น้อย เรามักตั้งคำถามว่าสัตว์เหล่านี้ทำได้อย่างไร แล้วมันทำได้จริงหรือ ถึงแม้นิยายเรื่องการหาทางกลับบ้านของสัตว์เหล่านี้จะถูกเล่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ความสำเร็จของมันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด สัตว์บางตัวอาจจะโชคดีที่ไปถูกทางที่จะไปบ้าน เพราะทิศที่จะเดินทางกลับบ้านมีแค่ 4 ทิศ คือ เหนือ, ใต้, ตะวันออก และตะวันตก ถ้าโชคดีเลือกถูกทางกึงบ้าน และบางทีแมวตัวที่กลับมาบ้านอาจไม่ใช่แมวตัวที่หายไป  จริงๆ แล้วสุนัขและแมวมีความสามารถในการคิดแผนที่ภายใต้จิตสำนึกของมัน 

          นกเป็นสัตว์ชนิดเดียวที่สามารถนำตัวเองไปสู่เป้าหมายที่กำหนดได้ และการศึกษาวิธีการที่นกใช้ในการนำทางกลับบ้าน ก็มีการศึกษามาต่อเนื่องยาวนานหลายปี และคำตอบอยู่ในสมมติฐานข้างล่างนี้ ตรวจสอบภูมิประเทศโดยตรง เรียนรู้ หรือ จดจำ แผนที่ทางภูมิศาสตร์ สำรวจมุมและตำแหน่งของดวงอาทิตย์ (และบางทีอาจเป็นสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์) นำทางโดยอาศัยสนามแม่เหล็กโลก (โดยอาศัยความสามารถพิเศษในการรับรู้คลื่นแม่เหล็กที่อ่อนมากๆ โดยอาศัยตัวรับที่ผิวหนังบริเวณจะงอยปาก) 

          สุนัข และ แมว สามารถหาทางกลับบ้านเองได้หรือไม่ คำตอบคือถ้าที่ห่างไกลนั้นเป็นที่ที่สุนัขและแมวคุ้นเคยอยู่ เขาสามารถหาทางกลับบ้านเองได้แน่นอน เพราะสุนัขและแมวมักไปเที่ยวไกลๆ แล้วกลับบ้านเอง แต่ถ้าทิ้งสัตว์ไว้ในที่ๆ ไม่คุ้นเคยและไกลมากๆ มันจะหาทางกลับบ้านเองได้หรือไม่ 

          ทั้งนี้ มีการศึกษาเรื่องการหาทางกลับบ้านของสัตว์เลี้ยง โดยนักจิตวิทยาชาวอังกฤษ เพื่อค้นคว้าขบวนการทางจิตที่อาจซ่อนอยู่ในการหาทางกลับบ้านของสัตว์เลี้ยงเมื่อหลงทางไปในที่ไกลๆ ผลการศึกษาออกมาว่า สุนัขสามารถหาทางกลับบ้านเองได้ แต่วิธีการที่ สุนัข ใช้ยังไม่สามารถอธิบายได้ เนื่องจากผลการศึกษาอาจละเว้นข้อเท็จจริงบางอย่างโดยไม่พูดถึงในงานวิจัย เช่น เขารู้ได้อย่างไรว่าสุนัขไม่เคยไปในจุดเริ่มต้นปล่อยสุนัขมาก่อน สุนัขจดจำเส้นทางได้โดยสุนัขไม่ได้ถูกปิดตาหรือจำกัดให้อยู่ในที่ที่ไม่สามารถมองเห็นเส้นทางได้หรือเปล่า หรือให้สุนัขจดจำเส้นทางโดยการดมกลิ่นหรือฟังเสียง สุนัขถูกปล่อยให้หาทางกลับโดยปล่อยจากจุดใกล้แล้วค่อยปล่อยไกลออกไปเรื่อยๆ หรือไม่ ฯลฯ 

          การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ทุกสิ่งจะต้องสามารถอธิบายได้และต้องชัดเจน ต้องอธิบายได้ว่าสัตว์จดจำแผนที่ไว้ในสมองได้อย่างไร สันชาติญาณป่าเป็นแรงผลักดันให้สัตว์หาทางกลับบ้านและอาหาร สุนัขที่หลงทางหากหาทางกลับบ้านไม่ได้ก็เท่ากับสุนัขอาจต้องตาย การหาทางกลับบ้านจึงเป็นความท้าทายของสุนัขที่ต้องหาแหล่งอาหารและที่พักเพื่อความอยู่รอด  ยีนที่ควบคุมสัญชาตญาณป่าอาจถ่ายทอดทางพันธุกรรมมา 

          สุนัขป่ามักหาทางไปยังแหล่งใหม่ๆ ได้ในอาณาเขตที่มันหากินอยู่ เป็นไปได้ว่าสุนัขอาศัยสิ่งที่สังเกตได้เช่นต้นไม้สูง หรือกลิ่นเป็นเครื่องนำทาง ซึ่งอาจไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นในบางครั้ง
สุนัขและแมวหาทางได้อย่างไร 


การหาทางอาจเหมือนนกที่อาศัยทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวในการนำทาง เช่น 
           แผนที่ที่อยู่ในสมองสัตว์ 
           ความอยู่รอดและการสำรวจอาณาเขตหรือถิ่นที่อยู่ 
           ความสามารถในเรื่องการดมกลิ่น 
           การได้ยิน เช่น เสียงน้ำไหล 
           สนามแม่เหล็ก ซึ่งสุนัขอาจมีบางส่วนของสมองที่สามารถรับสนามแม่เหล็กอ่อนๆ ได้เหมือนนก 
           ตำแหน่งของดวงอาทิตย์ แตกต่างกับของนกเพราะสุนัขมักเดินทางกลางคืนหรือเวลาที่แสงน้อย 

          สำหรับสี่ข้อแรกได้รับการพิสูจน์แล้วว่า สุนัข และ แมว เลี้ยงมีความสามารถใช้ได้ โดยมันสามารถที่จะไปและกลับได้เองในทางเดิมทางเดียวกับขาไป หรือเป็นทางใหม่คนละทางกับขาไป แต่การที่ถูกทิ้งในระยะทางไกลๆ สุนัขและแมวสามารถหาทางกลับได้หรือไม่ยังน่าสงสัย เพราะเรายังไม่ทราบว่า สัตว์เลี้ยง สามารถดูตำแหน่งดวงอาทิตย์ และอาศัยสนามแม่เหล็กเป็นเครื่องนำทางได้เช่นเดียวกับนกหรือไม่ คำตอบนี้ยังไม่สามารถตอบได้ 

          การจะตอบคำถามได้คงต้องมีการศึกษาที่อธิบายถึงการหาทางกลับบ้านจากที่ไกลๆ ของ สัตว์เลี้ยง แสนรักให้ได้ สัตว์เลี้ยง ที่ถูกปล่อยในที่ไม่ไกลนักและในสถานที่ไม่คุ้นเคยเสี่ยงต่อการที่จะหลงทางและตายเป็นอย่างมาก อย่าพยายามทดลองกับสัตว์เลี้ยงของท่านดีกว่าครับ เพราะจากประสบการณ์ของผู้แปลเองก็เคยพบว่า สัตว์เลี้ยง    โดยเฉพาะ แมว ที่เจ้าของไม่ได้ใส่กรงมาแล้วเกิดหลุดไป ไม่เคยเห็นกลับบ้านได้เอง 

ความน่ารักของ Dog  and Cat






















          "สุนัข" หรือ "น้องหมา" ...สัตว์เลี้ยงที่ขึ้นชื่อเรื่องความซื่อสัตย์และจงรักภักดีกับเจ้าของเป็นที่สุด แต่บางครั้ง น้องหมาก็ถูกนำไปเป็นคำด่าต่าง ๆ นานา ไม่แพ้สัตว์คู่บ้านคู่เมืองตั้งแต่ครั้งโบราณกาลอย่าง "ควาย" 

           คำบางคำที่เกี่ยวกับ "หมา" จึงไม่ค่อยมีใครอยากได้ยิน หรืออยากฟัง เนื่องจากบางประโยคที่มีคำนี้ถือเป็นคำหยาบคายอย่างยิ่ง! เช่น "สันดานหมา" "ชาติหมา" "หมาขี้เรื้อน" และอีกสารพัดหมา ๆ ที่ใครเคยถูกด่าด้วยคำเหล่านี้เป็นต้องร้องโอ๊ย!...เจ็บใจ  หรือใครเคยด่าคนอื่นด้วยคำนี้บ้างล่ะ โอ๊ย!..สะใจ (จริงไหม)
           อย่างไรก็ตาม แม้ "หมา" จะเป็นคำที่หยาบคาบและหลายคนไม่ปรารถนาจะได้ยิน แต่ถ้ามานั่งนึกกันเล่น ๆ แท้จริงแล้วอาจไม่ใช่ดังที่หลายคนคิด ... "หมา" คำ ๆ นี้อาจให้อะไรมากกว่าการถูกด่า คำ ๆ นี้อาจทำให้คุณอึ้ง! และซึ้งจนเกินบรรยาย และเสียน้ำตาให้กับมันก็เป็นได้

           เอ้า! หากไม่เชื่อก็มาร่วมพิสูจน์ความจริงให้รู้เช่นเห็นชัดกันไปเลย ซึ่งคลิปที่เรานำมาฝากเป็นคลิปภาพการ์ตูนของ คุณ i-phan (ไอ้แป้น) ซึ่งถูกนำมาร้อยเรียงเป็นคลิปวิดีโอโดยคุณ เจมส์ เมืองทอง เนื้อหาเป็นเรื่องราวความซื่อสัตย์จงรักภักดี และความรักของสุนัขที่มีให้กับคนที่ดีกับมัน โดยนำมาเปรียบเทียบกับภาคของคน(บางคน) ที่อาจหลงลืมพ่อแม่ ไม่ซื่อสัตย์กับพ่อแม่ ทอดทิ้งพ่อแม่ ....

          จะให้บรรยายก็คงไม่ได้อารมณ์เท่ากับ ตาดู หูฟัง ดังนั้น อย่ารอช้าไปดู คลิปซึ้ง ๆ เกี่ยวกับน้องหมากันเลยดีกว่าค่ะ   



ดีใจกับเจ้าของคนนี้จริงๆเลย

สุนัขที่หายไปสุนัขที่หายไป

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ynet.com, aigou.com


 สร้างความประหลาดใจให้กับชายชาวจีนนามว่า เฉินอีหยัง โดยแท้ เมื่อจู่ ๆ ขณะที่เขากำลังขับรถมอเตอร์ไซค์ไปหาพ่อแม่ที่บ้าน กลับพบสุนัขตัวหนึ่งซึ่งคล้ายกับสุนัขของเขาที่หายไปเมื่อ 7 ปีก่อน นอนซมอยู่ข้างถนน และเมื่อหนุ่มเฉินลองเรียกชื่อมันดู ก็ต้องตกตะลึง เพราะมันก็คือสุนัขสุดรักสุดหวงของเขาไปพลัดพรากจากกันไปถึง 7 ปีเต็ม ๆ นั่นเอง

          โดยหนุ่มชาวปักกิ่ง วัย 22 ปี เล่าเรื่องราวอันแสนประทับใจที่เกิดขึ้นว่า เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับเทศกาลโคมไฟของประเทศจีน ขณะที่เขากำลังจอดรถจักรยานยนต์ติดไฟแดงอยู่บนถนน สายตาก็เหลือบไปเห็นสุนัขจรจัดสีน้ำตาลตัวหนึ่งหมอบอยู่ข้างทาง ซึ่งสุนัขตัวนั้นมีลักษณะคล้ายกับ "เปิ้นเปิ้น" สุนัขตัวโปรดของเขาที่หายตัวไปนานกว่า 7 ปี เขาจึงลองผิวปาก และตะโกนเรียกมันว่า "เปิ้นเปิ้น" ด้วยใจลุ้นระทึก

          และแล้ว...สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น เมื่อสุนัขตัวนั้นจ้องมาที่เขาอย่างแน่นิ่ง ก่อนที่อีก 2-3 วินาทีต่อมา มันจะวิ่งตรงเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว ทำให้เขารู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมากและร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจที่ได้สุนัขแสนรักกลับมาอีกครั้ง หลังจากไม่เคยคาดหวังว่าจะได้พบมันอีกตลอดกาล

          เฉินอีหยัง ย้อนเล่าให้ฟังว่า เมื่อ 7 ปีก่อน เขาได้พาเจ้าเปิ้นเปิ้นไปเดินเล่นในสวนสาธารณะใกล้ ๆ และหันไปคุยกับคนอื่น ปล่อยให้เจ้าเปิ้นเปิ้นซึ่งไม่ได้ผูกเชือกไว้วิ่งไปทั่ว แต่เมื่อหันมาอีกครั้ง เปิ้นเปิ้น ก็หายตัวไปแล้ว และเดินตามหาอยู่นานเป็นสัปดาห์ก็ไม่มีวี่แววว่าจะพบ จนเขาถอดใจ แต่ก็ไม่คิดไม่ฝันว่า 7 ปีให้หลัง เขาจะได้พบหน้าเจ้าเปิ้นเปิ้นอีกครั้งราวกับปาฏิหาริย์

          "ผมไม่รู้ว่าจะร้องไห้ หรือยิ้มดี มันตกใจมากที่ได้เจอเปิ้นเปิ้นอีก เพราะตอนที่มันหายไป ผมกลัวมากว่ามันจะถูกจับแล้วถูกฆ่า เหมือนสุนัขจรจัดตัวอื่น ๆ ในกรุงปักกิ่ง และผมก็มั่นใจว่า นี่คือเปิ้นเปิ้นตัวจริง แค่เห็นผมก็จำได้แล้ว เพราะผมเป็นเจ้าของมัน" เฉิน บอก


สุนัขที่หายไป


   เฉิน บอกอีกว่า 7 ปีที่เจ้าเปิ้นเปิ้นหายไป มันผอมลง และเชื่องช้าขึ้น นอกจากนั้นแล้ว เปิ้นเปิ้นที่เคยเป็นมิตรกับคน ไม่เคยกลัวใคร มาตอนนี้มันกลัวคนมากขึ้น โดยเฉพาะคนที่ถืออะไรไว้ในมือ ส่วนพฤติกรรมการกินก็เปลี่ยนไป จากปกติที่มันชอบเลือกกิน จะกินแต่ข้าวกับซุปเนื้อ แต่เดี๋ยวนี้อะไรก็กินหมด แม้แต่คุ้ยขยะ ซึ่งเขาเชื่อว่า เป็นพฤติกรรมที่มันต้องทำมาตลอด 7 ปี เพื่อความอยู่รอด

          "ตอนที่ผมพามันกลับไปที่สนามหญ้า สิ่งแรกที่มันทำเลยก็คือวิ่งไปคุ้ยถังขยะหาของกิน พอผมเห็นเปิ้นเปิ้นทำแบบนั้น น้ำตาของผมก็ไหลออกมาเลย" เฉิน กล่าวด้วยความสงสาร 

          ทั้งนี้ ด้วยความดีใจที่ได้สุนัขกลับมาอีกครั้ง หนุ่มเฉินก็ได้ถ่ายรูปเปิ้นเปิ้น และนำไปโพสต์บอกเล่าเรื่องราวปาฏิหาริย์ครั้งนี้ในบล็อกส่วนตัวของเขา ซึ่งก็มีชาวเน็ตจำนวนมากแห่เข้ามาโพสต์ข้อความแสดงความยินดีที่หนุ่มเฉินได้สุนัขกลับมา โดยบล็อกเกอร์คนหนึ่งที่ชื่อ จูจื่อชิง ถึงกับบอกว่า ได้อ่านเรื่องราวของเฉินอีหยังแล้วรู้สึกปลาบปลื้ม และดีใจมากจนร้องไห้ออกมา

          ขณะเดียวกัน ชาวเน็ตอีกจำนวนหนึ่ง ตั้งข้อสังเกตว่า เฉินอีหยังได้พบสุนัขที่หายไปอีกครั้งในวันเทศกาลโคมไฟพอดี ซึ่งชาวจีนเชื่อกันว่า "เทศกาลโคมไฟ" มีความหมายถึงช่วงเวลาที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง และไม่น่าเชื่อว่า เรื่องราวอันน่าประทับใจของเฉินอีหยัง กับเพื่อนคู่ใจอย่าง "เปิ้นเปิ้น" ช่างเป็นเรื่องราวที่ฟังแล้วน่าปลาบปลื้มตรงกับความหมายซึ้ง ๆ ของวันเทศกาลโคมไฟพอดิบพอดี

วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556

อยากบอกให้นายได้รู้

1116114946.jpg

ชีวิตของฉันอย่างมากก็จะสิ้นสุดเพียงแค่...10 – 15 ปีเท่านั้น การแยกจากนายไม่ว่า จะด้วยเหตุใดก็ตาม นับเป็นความปวดร้าวอย่างยิ่งของฉัน จึงโปรดสังวรให้จงหนัก ก่อนที่จะรับฉันเข้ามาในชีวิตนาย


132235.jpg

จงเชื่อมั่นในตัวฉัน เพราะเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับความเป็นอยู่ของฉัน..

 ความอดท...นและความเข้าอกเข้าใจของนาย จะสอนให้ฉันรู้ว่า นายต้องการจะสอนให้ฉันเรียนรู้อะไรบ้าง

 อย่าโกรธฉันให้นานนัก อย่าลงโทษฉันด้วยการกักขัง นายมีทั้งหน้าที่การงาน ความบันเทิงและมิตรสหาย...แต่ฉันมีนายเพียงคนเดียว

 พูดกับฉันบ้าง แม้ฉันไม่เข้าใจในคำพูด แต่ฉันก็สามารถเข้าใจนายจากน้ำเสียงที่อ่อนโยนของนาย

 พึงระลึกอยู่เสมอว่า ไม่ว่านายจะปฏิบัติอย่างไรต่อฉัน ฉันจะไม่มีวันลืมเลือนเลย

 โปรดอย่าทำร้ายฉันด้วยการเฆี่ยนตี เพราะฉันอาจกัดหรือทำร้ายนายได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย

 โปรดพาฉันเข้าในบ้านเมื่ออากาศหนาวหรือฝนตก ฉันเป็นสัตว์ที่เคยชินกับการอยู่ร่วมกับคน ฉันไม่ร้องขอความสะดวกสบายมากมายนัก ขอ เพียงได้นอนแทบเท้านาย ฉันก็มีความสุขมากแล้ว

 ก่อนนายจะดุด่าฉัน สำหรับท่าทีที่คล้ายจะไม่เชื่อฟัง ดื้อดึงเกียจคร้าน ขอจงได้ถามตัวนายก่อนว่า เกิดสิ่งผิดปกติกับตัวฉันหรือไม่ .......หัวใจ...ของฉันมันแก่ชราและอ่อนล้าลงเสียแล้ว..

 เมื่อฉันสุขภาพไม่ดี ฉันอาจมองไม่ค่อยเห็นนายหรือได้ยินเสียงนายไม่ชัด แต่ฉันก็อยากอยู่ใกล้ชิดกับนายเหมือนเคย..

 ขอนาย...อยู่กับฉัน เมื่อช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต..ฉันมาถึง อย่าทิ้งฉันไว้เพียงลำพัง..โปรดเฝ้ามองเพื่อนผู้ซื่อสัตย์ของนาย..จากไป...อย่างช้าๆ เพื่อที่ลมหายใจสุดท้ายของฉันจะได้รับรู้ว่า ชีวิตของฉันสิ้นสุดลง....ในอ้อมกอดของนาย.........................